เขาส่งใบสั่งยาให้เด็กผู้ชาย และสั่งให้พวกเขาลงไปรับยา เพื่อนำมารักษาให้หายดี จื่ออานถอดเสื้อผ้าขององค์จักรพรรดิเหลียง นางกระซิบกับองค์จักรพรรดิเหลียง “ฝ่าบาท ข้าจะช่วยพลิกตัว ข้าจะฟังเสียงจากหลังของท่าน”องค์จักรพรรดิเหลียงพยักหน้า ไม่พูดสิ่งใด สีหน้าเขียวช้ำ หายใจไม่สะดวกหมอหลวงและข้ารับใช้หยางที่มารอ เห็นจื่ออานแนบหูบนหลังองค์จักรพรรดิเหลียง ภาพแบบนี้จริง ๆ แล้วห้ามมอง หลายคนหันหน้าหนี ไร้ยางอายเสียจริง ๆ รักษาแบบนี้ได้ที่ไหนกัน?การใช้หูฟังสู้การใช้หูฟังของแพทย์ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะฟังเช่นนี้ ก็ยังสามารถได้ยินเสียงปอด การแสดงออกของจื่ออานก็ค่อนข้างจริงจังองค์รัชทายาทเสด็จกลับมา เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พระองค์พูดกับมู่หรงเจี๋ยว่า “ท่านอา คู่หมั้นของท่านแปลกเสียจริง”มู่หรงเจี๋ยไม่ต้องการคุยกับเขา ไม่หันแม้แต่ศีรษะ เพียงแค่มององค์จักรพรรดิเหลียงด้วยท่าทางที่มืดมนองค์รัชทายาทพูดกับตัวเอง เขาพูดต่อว่า “ราชสำนักหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเซี่ยจื่ออานจะสามารถรักษาท่านพี่ได้ แทบรอไม่ไหวที่จะเห็นท่านแต่งงานกับชายาที่ดีคนนี้ และกลับไปพร้อมนาง”ไม่มีใครพูดอะไร เขาจึงนั่งบนเก้าอี้ มือทั
ศักดิ์ศรีของจื่ออาน ทำให้หมอหลวงที่อยู่ตรงนั้นด้วยกังวลใจ เมื่อเห็นนางฝังเข็มเสร็จในครั้งเดียว แม้ว่าจะไม่เชื่อว่านางเป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชา แต่เทคนิคการฝังเข็มขอนางก็ดีกว่าวิธีอื่น ๆ มู่หรงเจี๋ยเดินไป เอื้อมมือวางมือบนไหล่ของนางแล้วพูดว่า “ทำไปเถอะ หากเกิดอะไรขึ้น ข้านี้จะดูแลฝ่าบาทเอง”จื่ออานใจชื้นขึ้นเล็กน้อย เธอรู้ว่าผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิพูดประโยคนี้ออกมาได้ แสดงว่าวางใจและสนับสนุนเธอมากทีเดียวหากวันนี้เขาไม่ได้รับการสนับสนุกจากเขา ตนเองกลัวว่าคงจะถูกไล่ออกจากวัง หรือถูกทุบตีไปนานแล้วเธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง จับเข็มด้ามยาว และเลือกจุดฝังเข็มเบา ๆ อันที่จริง เธอมีจุดฝังเข็มที่แม่นยำและเธอก็มีฝีมือมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอจึงเลือกให้ดีอีกครั้ง“มีอาการปวดเล็กน้อยนะเพคะ ฝ่าบาท อดทนไว้!” จื่ออานโน้มตัวลงและพูดเบา ๆจักรพรรดิเหลียงทรงหายใจเหมือนใยแมงมุมที่แผ่วเบา ต้องใช้กำลังมากในการหายใจเข้า นัยน์ตาของเขาตั้งตรงเล็กน้อย หากมองใกล้ ๆ จะพบว่ารูม่านตาขยายออกจื่ออานรู้ว่าออกซิเจนไม่เพียงพอ หากไม่มีออกซิเจน อาการการหายใจของเขาจะไม่เ
“แสดงว่าเขาก็ผ่านเส้นอันตรายแล้วหรือ?” มู่หรงเจี๋ยถามจื่ออานส่ายหัว “หามิได้ โรคปอดบวมต้องได้รับการควบคุมอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึง ก่อนที่ช่วงเวลาอันตรายจะผ่านพ้นไป”หยวนพ่านถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณหนูเซี่ย ข้าคนนี้ไม่ค่อยเข้าใจนัก ทำไมท่านถึงฝังเข็มสองครั้ง ทั้งก่อนและหลังแยกเยื่อหุ้มหัวใจ?จื่ออานยิ้มและพูดว่า “ครั้งแรกที่ฝังเข็มคือ การปิดรูขุมขน เลือดส่วนใหญ่จะถูกปิดผนึก จากนั้นเมื่อข้าระบายออก เลือดจะไหลออกมา ส่วนครั้งที่สองที่ฝังเข็มคือ การเจาะรูขุมขน เลือดที่อยู่ก่อนหน้านี้จะถูกปล่อยออกมา หลังจากนั้นแล้ว ก็จะส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด เพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ด้วยวิธีนี้ ออกซิเจนจะถูกฉีดเข้าไปในปอดของจักรพรรดิเหลียง วิธีการฝังเข็มเทียบเท่ากับการรับออกซิเจน เขาจะรู้สึกดีขึ้นในอีกสิบสองชั่วโมงข้างหน้า”หยวนพ่านไม่เชื่อ “พูดอีกอย่างก็คือ สถานการณ์ของฝ่าบาทดีขึ้นมากรึ?”จื่ออานกล่าวว่า “หยวนพ่าน ท่านมาลองตรวจชีพจรดูสิ”หยวนพ่านเงียบไปครู่หนึ่ง ยังไม่มั่นใจ แม้ว่าสถานการณ์ของจักรพรรดิเหลียงจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะกลับมากำเริบเขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรของจัก
จวนมหาเสนาบดี!ตั้งแต่จื่ออานเข้าวังไป มหาเสนาบดีเซี่ยก็ได้สั่งคนให้ไปสืบดูความเคลื่อนไหวภายในวังมาโดยตลอดหลานสาวของเหล่าฟูเหริน คือพระสนมเหมย เหล่าฟูเหรินได้สั่งคนให้ไปพบพระสนม เพื่อให้นางหาคนไปช่วยสืบคนที่ไปสืบได้ออกจากวังมารายงานต่อเหล่าฟูเหริน และมหาเสนาบดีเซี่ย"พระสนมเหมยกล่าวว่า องค์จักรพรรดิเหลียงล้มป่วยอยู่ในวัง หมอหลวงทุกคนก็ไปกันหมด หลังจากที่คุณหนูใหญ่ถูกเรียกตัวเข้าวัง ก็อยู่ที่ตำหนักบูรพามาโดยตลอด จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงไปโผล่ที่พระตำหนักฉางเชิงได้ หวงไท่โฮ่วและกุ้ยไท่เฟยก็ไปด้วย หวงไท่โฮ่วโมโหคุณหนูใหญ่มาก บอกว่าให้โบยนางแล้วขังไว้ในห้องลงทัณฑ์ สุดท้ายก็ไม่ได้โบย ได้ยินมาว่าผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิช่วยขอร้องให้"เหล่าฟูเหรินที่ได้ฟังรายงาน อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ "องค์จักรพรรดิเหลียงป่วยหนักเหรอ? พระอาการเป็นเช่นไรบ้าง?" "พระสนมเหมยได้ยินหมอหลวงหลิวพูดว่า พระอาการไม่สู้ดีนัก เกรงว่าองค์จักรพรรดิจะไม่รอดแล้ว"เหล่าฟูเหรินขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ไตร่ตรองอยู่ครู่นึง มองไปที่มหาเสนาบดีเซี่ยแล้วกล่าว "ทำไมองค์จักรพรรดิเหลียงถึงได้ป่วยหนักในเว
มหาเสนาบดีเซี่ยถามอย่างสงสัย "แม่นมหยางผู้นี้มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ?"เหล่าฟูเหรินกล่าว "ไม่รู้เหมือนกัน ต้อนรับขับสู้อย่างใจเย็นไว้ก็พอ"หลิงหลงฟูเหรินกล่าวถาม “คงจะไม่ได้มาประกาศพระราชโองการใช่ไหม? เป็นไปได้ไหมที่ฮองเฮามีความประสงค์จะลงโทษจวนมหาเสนาบดีของพวกเรา?”"หุบปากของเจ้าไปซะ!" เหล่าฟูเหรินมองนางตาไม่กะพริบ "รู้จักแต่พูดจาไร้สาระ"หลิงหลงฟูเหรินที่เห็นนางโกรธ ก็ทำได้เพียงสงบปากสงบคำ ยืนข้าง ๆ อย่างระมัดระวังคนเฝ้าประตูได้ให้แม่นมหยางเข้ามา เหล่าฟูเหรินยิ้มต้อนรับ "แม่นม วันนี้ท่านกับจวนมหาเสนาบดีช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง ภายในหนึ่งวันมาถึงสองรอบ ครั้งนี้ยังไงก็จะให้ท่านอยู่รับประทานอาหารเย็นก่อนถึงจะให้กลับไปได้”แม่นมหยางยิ้มตอบ “ขอบคุณน้ำใจของเหล่าฟูเหริน เรื่องรับประทานอาหารไม่จำเป็นแล้ว ครั้งนี้ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ และจะต้องรีบกลับวัง”"รับคำสั่ง? ฮองเฮาสั่งให้ท่านมาใช่หรือไม่?" ดวงตาของเหล่าฟูเหรินเปล่งประกาย รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้าอยู่เช่นเดิม “เชิญท่านนั่งจิบชาก่อนสักครู่แล้วค่อยพูดคุยกัน” แม่นมหยางก้าวไปด้านหน้าของมหาเสนาบดีเซี่ย “ข้าน้อยเคยพบนายท่าน
หลิงหลงฟูเหรินสีหน้าซีดเผือด แต่คนรับใช้ก็ออกไปแล้ว นางก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อหน้าแม่นมหยางได้ ทำได้เพียงแต่ยืนข้าง ๆ รออย่างกระสับกระส่ายเสี่ยวซุนถูกคนรับใช้สองคนช่วยพยุงตัวมา นางแทบจะยืนไม่ไหว ทั่วทั้งใบหน้าและศีรษะของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด เสื้อผ้านางฉีกขาดหลายจุดเผยให้เห็นรอยแผล รู้ได้เลยว่าหญิงรับใช้ผู้อ่อนแอนางนี้ ประสบเคราะห์ร้ายอันใดมาแม่นมหยางแม้ว่าจะพบเจอกับความโหดร้ายของคนจนเคยชิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา "ไม่ทราบว่าหญิงรับใช้ผู้นี้ทำผิดอะไรกันแน่ ถึงได้ถูกโบยหนักเช่นนี้"เหล่าฟูเหรินนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวซุนจะมีสภาพแบบนี้ นางมองไปที่หลิงหลงฟูเหรินด้วยสายตาตำหนิ แล้วกล่าวเสียงดัง "เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ข้าบอกกับเจ้ามากี่ครั้งแล้ว เมื่อคนรับใช้ทำผิด ก็ไม่อาจโบยจนอาการสาหัสขนาดนี้"หลิงหลงฟูเหรินพูดอย่างอึกอัก: "ท่านแม่โปรดระงับโทสะ หญิงรับใช้ได้ขโมยของไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับผิด ดังนั้นลูกจึงสั่งให้ เซี่ยฉวนเป็นคนสอบปากคำ ใครจะไปรู้ว่าเซี่ยฉวนจะลงมือหนักเช่นนี้"แม่นมหยางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือ ข้ออ้างของหลิงหลงฟูเหริน? แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนภา
หลิงหลงฟูเหรินในใจคิดโกรธแค้น ตอนนี้ยังจัดการอะไรนางไม่ได้ ได้แต่แอบสาปแช่งนางในใจ นังเฒ่านี่ทำไมไม่รีบตาย ๆ ไปซะ? ตายไปแล้วหน้าที่การปกครองจวนนี้ก็ต้องตกเป็นของนาง“ท่านแม่ระงับโทสะด้วย เป็นลูกเองที่โง่เขลา” หลิงหลงฟูเหรินกัดฟันกล่าวขอโทษออกไปเหล่าฟูเหรินพ่นลมหายใจ มองนางอย่างเยือกเย็น "อย่ามาทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ข้ารู้ว่าเจ้าสาปแช่งข้าในใจ แต่ก็ไม่เป็นไร วุ่นวายกับเจ้าที่ด้อยความรู้เช่นนี้ก็ดูเหมือนข้าจะตื้นเขินเกินไป”มหาเสนาบดีบดีเซี่ยเห็นเหล่าฟูเหรินโกรธขึ้นเรื่อย ๆ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย "ท่านแม่ ท่านคิดว่าฮองเฮาจะเอายังไงกันแน่?"เหล่าฟูเหรินยับยั้งความรู้สึกไว้ก่อน แล้วคิดใคร่ครวญ "จากข้อมูลที่พระสนมเหมยให้มา เรื่องการถูกฝังทั้งเป็นนั้นมีความเป็นไปได้ แต่ว่าฮองเฮาสั่งคนให้มาพาตัวเสี่ยวซุนเข้าวัง ทั้งยังนำเสื้อผ้าไปด้วยอีก มันก็ดูแปลก ๆ นะ""เป็นไปได้ไหมที่ฮองเฮาจะโปรดปรานนางจริง ๆ ต้องการให้นางพักอยู่ในวังสักสองสามวัน?" หลิงหลงฟูเหรินคาดเดาด้วยความตื่นตระหนกเหล่าฟูเหรินกล่าวอย่างเย็นชา "มีเพียงคนสมองหมูโง่เง่าอย่างเจ้าถึงจะคิดเช่นนี้ได้ หากวันนี้องค์จักรพรรดิเหลียงทรงป
ที่ด้านนอกสวนหลวงกุ้ยไท่เฟยยังไม่ออกจากวังกลับจวนไป อยู่ที่ศาลาในสวนหลวงตระเตรียมขนมไว้มากมาย และให้คนเชิญมู่หรงเจี๋ยมาที่นี่เดิมทีมู่หรงเจี๋ยก็ไม่เต็มใจที่จะไป แต่ว่ากุ้ยไท่เฟยสั่งคนให้ไปเชิญสามครั้งแล้ว เขาจึงจำต้องไปแสงสลัวในยามค่ำอันงดงาม กับสายลมพี่พัดแผ่วเบา โคมไฟที่ประดับเป็นจุด ๆ ส่องสว่างอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหลวง กุ้ยไท่เฟยนั่งตัวตรงอยู่ที่ม้านั่งหิน ในมือถือถ้วยชาเอาไว้ สีหน้าแลดูหดหู่ พอเห็นมู่หรงเจี๋ยมาถึง นางก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดูดุดัน"เสด็จแม่!" มู่หรงเจี๋ยนั่งลง "ดึกดื่นขนาดนี้ใยท่านถึงไม่กลับจวนเล่า? คืนนี้จะพักในวังหรือ?”กุ้ยไท่เฟยวางถ้วยชาที่ถืออยู่ลงไปบนโต๊ะอย่างแรง โบกมือสั่งข้ารับใช้ให้ถอยออกไป และกล่าวเสียงดัง "เจ้ายังรู้ด้วยเหรอว่าข้าคือแม่ของเจ้า ข้าถามเจ้าหน่อยเถิด ในสายตาเจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่อยู่หรือไม่?"มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้ว "เสด็จแม่จำเป็นต้องโกรธถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?"”ไม่โกรธได้เช่นไร?" กุ้ยไท่เฟยโกรธจนสมองเบลอ มือไม้สั่น "องค์จักรพรรดิเหลียงจะเป็นหรือตาย นั้นเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ข้าได้บอกกับเจ้านานแล้ว ฮองเฮาหวาดกลัวเจ้า ให้เจ้ากับองค์จักรพรรดิ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว